อะซิโตน (Acetone) คืออะไร?

คือ ของเหลวที่ระเหยได้ มีกลิ่นคล้ายมิ้นท์ ไม่มีสี แต่สามารถติดไฟได้ง่าย โดยมีจุดเดือดที่ 56.5 °C จุดหลอมเหลว -95 °C เป็นสารประกอบอินทรีย์ประเภทคีโตนที่ไม่มีองค์ประกอบของกลุ่มฮาโลจีเนตเต็ต (Halogenated) มักใช้ในกระบวนการผลิตในภาคอุตสาหกรรม เพื่อใช้เป็นตัวทำลายสารต่าง ๆ และยังสามารถผลิต สกัดได้จากธรรมชาติ และสังเคราะห์ทางเคมีจากปิโตรเลียม

201221-Content-อะซิโตน-Acetone-ประโยชน์-อันตรายแค่ไหน-02 edit
น้ำหนักโมเลกุล (Molecular Weight) : 58.08 กรัม/โมลจุดเดือด (Boiling Point) : 56.5 °C
จุดหลอมเหลว (Melting Point) : -95 °Cจุดวาบไฟ (Flash Point) : -20 °C (National Fire Protection Association)
ความดันไอ (Vapor Pressure) : 180 มิลลิเมตรปรอท (20 °C)การละลายน้ำ (Solubility) : ละลายน้ำได้ดีที่ 1000 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร ที่ 25 °C
ความหนาแน่น (Density) : 0.791ความเข้มข้นที่ทำให้เกิดกลิ่นในอากาศ : 13-20 ppm


ประโยชน์ของอะซิโตน

201221-Content-อะซิโตน-Acetone-ประโยชน์-อันตรายแค่ไหน-03 edit


1. ในภาคอุตสาหกรรม

มักใช้เป็นตัวทำละลายในกระบวนการผลิตในภาคอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมเคมี ผลิตยา ผลิตสี หมึกพิมพ์ น้ำมันขัดเงา กาว แลคเกอร์ เครื่องสำอาง และอุตสาหกรรมพลาสติก เช่น เรซิน Bisphenol A สำหรับเป็นสารตั้งต้นในการผลิตพลาสติกหลายชนิด เช่น โพลีคาร์บอเนต โพลียูรีเทน และเรซิน เป็นต้น

2. ห้องปฏิบัติการ

มักใช้อะซิโตนสำหรับเป็นตัวทำละลายในการเตรียมสารเคมี หรือ ใช้เป็นสารทำละลายสำหรับการสกัดสารอินทรีย์จากพืชหรือสัตว์

3. ประโยชน์ด้านอื่น ๆ

ได้แก่ ใช้สำหรับการชะล้าง และเป็นสารไล่น้ำ

อะซิโตนละลายได้ดีใน น้ำ เอทานอล อีเทอร์ ฯลฯ และเป็นตัวทำละลายที่สำคัญมาก การใช้งานอะซิโตนที่คุ้นเคยกันมากที่สุดคือใช้ในน้ำยาล้างเล็บ และยังใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรม พลาสติก ไฟเบอร์ ยา และ สารเคมีอื่น ๆ ❞


ข้อแนะนำและความปลอดภัย

ความเป็นอันตราย

► อะซิโตนจัดเป็นสารอันตรายประเภทที่ 3 ตามประกาศ พ.ร.บ. วัตถุอันตราย ปี 2535
► ค่า LC50 เท่ากับ 50100 มก./ลบ.ม. (ในหนูที่ 8 ซม.)
► ค่า OSHA-PEL เท่ากับ 2400 มก./ลบ.ม.

การเกิดปฏิกิริยา

► อะซิโตนมีความเสถียรภายใต้สภาวะปกติ
► สารที่เข้ากันไม่ได้ ได้แก่ กรดไนตริกเข้มข้น กรดซัลฟูริก คลอโรฟอร์ม สารประกอบคลอรีน สารออกซิไดซ์ ยางธรรมชาติ ยางสังเคราะห์ พลาสติก เป็นต้น
► การเกิดปฏิกิริยา และการสลายตัวจะเกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และคาร์บอนมอนอกไซด์

201221-Content-อะซิโตน-Acetone-ประโยชน์-อันตรายแค่ไหน-04 edit


การเกิดอัคคีภัย

อะซิโตน จัดเป็นสารไวไฟ มีจุดวาบไฟที่น้อยมากที่ -2 °C และลุกติดไฟได้เองที่ 465 °C ดังนั้น จึงมีโอกาสเกิดการติดไฟ และระเบิดได้ง่ายหากสัมผัสกับความร้อน และเปลวไฟ และเกิดระเบิดได้เองหากส่วนผสมของไอระเหยกับอากาศอยู่ภายใต้ขีดจำกัดความไวไฟที่ได้รับความร้อนมากเพียงพอ


อันตรายต่อสุขภาพ

201221-Content-อะซิโตน-Acetone-ประโยชน์-อันตรายแค่ไหน-05 edit


ระบบหายใจ การสูดดม หรือหายใจเอาอะซิโตนเข้าสู่ระบบหายใจ จะทำให้เกิดอาการระคายเคืองของเยื่อบุทางเดินหายใจ มีอาการไอ แน่นหน้าอก เวียนศรีษะ ปวดหัว
ทางผิวหนัง เมื่อมีการสัมผัสทางผิวหนัง จะทำให้ชั้นไขมันผิวหนังถูกทำลาย ผิวหนังแดง อักเสบ มีอาการปวดแสบปวดร้อน
สัมผัสกับตา เมื่อมีการสัมผัสกับตา จะทำให้ตาระคายเคือง น้ำตาไหล มีอาการตาแดง และปวดตา
การกลืนกิน การกลืนกินเข้าสู่ระบบทางเดินอาหาร จะทำให้รู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียนศรีษะ ปวดหัว
ผู้ปฏิบัติงาน และผู้ที่อยู่ใกล้เคียงขณะปฏิบัติงาน ควรสวมถุงมือยาง รองเท้าบูท ผ้าปิดจมูก แว่นตาป้องกันสารเคมี และสวมใส่เสื้อผ้าให้มิดชิดทุกครั้ง


วิธีการเก็บรักษา

ควรเก็บในภาชนะที่ปิดบรรจุมิดชิด จัดเก็บในบริเวณที่แห้ง เย็น มีการระบายอากาศที่ดี
ควรเก็บในภาชนะที่ทำจากกแก้ว หลีกเลี่ยงการเก็บในภาชนะที่ทำด้วยโลหะ ใยสังเคราะห์ และพลาสติก
ควรเก็บให้ห่างจากแหล่งความร้อน แสงแดด เปลวไฟ และสารที่เข้ากันไม่ได้
อุณหภูมิสถานที่เก็บไม่ควรเกิน 30 °C
สถานที่เก็บ ควรถูกต้องตามกฎหมายที่กรมโรงงานกำหนดในเรื่องการจัดเก็บวัตถุอันตราย มีป้ายเตือนอันตราย ป้ายเตือนให้สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล ป้ายห้ามสูบบุหรี่ ระยะห่างจากแหล่งความร้อน แหล่งเชื้อเพลิง อาคารสามารถป้องกันประกายไฟ เป็นต้น