โซดาไฟ (Sodium hydroxide)
หรือ คอสติกโซดา (Caustic soda) คือ สารประกอบชนิดหนึ่ง ชื่อ โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) เป็นของแข็งสีขาว ดูดความชื้นดีมาก ละลายน้ำได้ดี มีลักษณะเป็นเกล็ด หรือเม็ดคล้ายทรายหยาบใส ๆ หรือผงขุ่น ๆ มีคุณสมบัติเป็นด่าง และมีฤทธิ์กัดกร่อน ใช้ในอุตสาหกรรมหลายประเภท เช่น ผลิตเยื่อกระดาษ สบู่และผลิตภัณฑ์ซักฟอก เคมีภัณฑ์ทำความสะอาด โรงกลั่นน้ำมัน อุตสาหกรรมโลหะ อาหาร เส้นใยเรยอน สิ่งทอ ใช้ในการฟอกย้อม ล้างสีไหม นอกจากนี้ ช่างเจียระไนพลอย ก็ใช้ในขั้นตอนล้างเม็ดพลอยที่เจียระไนเสร็จแล้วอีกด้วย
นอกจากนี้ โซดาไฟ ที่เรารู้จักกันนั้น คือสารเคมีนี้ยังช่วยแก้ปัญหาท่อตัน หรือชำระล้างคราบ ๆ ต่างที่ติดแน่น และใช้ในวงการอุตสาหกรรมหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นโรงงานผลิตผ้า โรงงานผลิตสบู่ ผงซักฟอก หรือน้ำยาทำความสะอาดต่าง ๆ เป็นต้น
โซดาไฟที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมนั้น มีกี่ประเภท?

1. โซดาไฟเกล็ด
มีลักษณะเป็นเกล็ด ๆ แท่ง ๆ คล้ายกับสารส้มที่ถูกขูดเป็นเกล็ด มีสีขาว แข็ง และลายน้ำได้ สีคล้ายกับเกลือ โซดาไฟเกล็ดจะมีความเข้มข้น ตั้งแต่ 40-50% จนถึง 99% ปกติการบรรจุโซดาไฟชนิดนี้ จะบรรจุในกระสอบ กระสอบละประมาณ 50 กิโลกรัม
2. โซดาไฟน้ำ
เป็นโซดาไฟที่ถูกนำมาละลายน้ำและเหลือความเข้มข้น ครึ่งหนึ่งเพียง 50% โซดาไฟน้ำจะบรรจุในแกลลอน
3. โซดาไฟไข่มุก
เป็นโซดาไฟเกล็ดที่เป็นก้อนกลม ๆ เล็กขนาดเท่า ๆ กันจนคล้ายกับก้อนไข่มุก ส่วนใหญ่จะนำเข้าจากไต้หวัน เกรดประมาณ 99% การบรรจุส่วนใหญ่จะบรรจุในกระสอบ
ซึ่งการเลือกใช้โซดาไฟนั้น ขึ้นอยู่ที่ว่า อุตสาหกรรมของเราหรืองานที่เราทำนั้นเป็นอุตสาหกรรมประเภทไหนและต้องใช้โซดาไฟที่เข้มข้นประมาณไหนด้วยเช่นกัน
ตารางแสดง ค่าความหนาแน่นของ โซเดียมโฮดรอกไซด์ และกรดบางชนิด
ความหนาแน่นของสารละลาย Solution densities (g/ml) | |||||
---|---|---|---|---|---|
% w/w | โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) | กรดซัลฟิวริก (H2SO4) | กรดแอซีติก (CH3COOH) | กรดไฮโดรคลอริก (HCI) | แอมโมเนีย (NH30) |
0 | 0.9991 | 0.9991 | 0.9982 | 0.9982 | 0.9991 |
1 | 1.0106 | 1.0054 | 0.9987 | 1.0032 | 0.9948 |
2 | 1.0219 | 1.0129 | 1.0012 | 1.0082 | 0.9905 |
3 | 1.0331 | 1.0195 | 1.0026 | 1.0132 | 0.9864 |
4 | 1.0443 | 1.0266 | 1.0041 | 1.0181 | 0.9822 |
5 | 1.0551 | 1.0334 | 1.0055 | 1.0230 | 0.9782 |
10 | 1.1111 | 1.0687 | 1.0126 | 1.0474 | 0.9591 |
15 | 1.1655 | 1.1048 | 1.0195 | 1.0725 | 09416 |
20 | 1.2219 | 1.1430 | 1.0261 | 1.0980 | 0.9253 |
30 | 1.3311 | 1.2212 | 1.0383 | 1.1493 | 0.8951 |
40 | 1.4339 | 1.3070 | 1.0488 | 1.1980 | |
50 | 1.5290 | 1.3989 | 1.0575 |
ประโยชน์โซดาไฟ
โซดาไฟสามารถใช้ในรูปของโซดาไฟก้อน และโซดาไฟเหลว ในด้านต่าง ๆ คือ เป็นสารตั้งต้นในการผลิตโซดาไฟเหลว ดังนี้

- ใช้สำหรับอุตสาหกรรมผลิตสบู่ ด้วยการทำปฏิกิริยากับไขมันเปลี่ยนเป็นสบู่
- ใช้สำหรับขจัดคราบสกปรก และสิ่งอุดตันในท่อระบายน้ำ ด้วยก้อนหรือละลายน้ำเทราดบริเวณที่มีการอุดตันของท่อ
- ใช้สำหรับปรับสภาพความเป็นกรดของน้ำให้เป็นด่าง โดยเฉพาะในระบบบำบัดน้ำเสียที่ต้องปรับความเป็นกรด-ด่างของน้ำ
- ใช้สำหรับการตกตะกอนของแร่ธาตุหรือโลหะหนักในกระบวนการบำบัดน้ำเสีย
- ใช้ฟื้นสภาพของเรซินของระบบปรับปรุงคุณภาพน้ำ
- ใช้ในกระบวนการฟอกย้อมไหม โดยเฉพาะขั้นตอนการลอกกาวไหมที่ต้องต้มละลายกาวไหมด้วยโซดาไฟ สำหรับการฟอกไหมในระดับครัวเรือน ชาวบ้านเรียกโซดาไฟว่า ผงมัน ซึ่งหาซื้อได้ตามร้านขายเคมีฟอกไหม
ข้อควรระวังในการใช้ โซดาไฟ
เนื่องจากโซดาไฟ มีคุณลักษณะของสารเคมี ทำปฏิกิริยาทางเคมี ยิ่งความเข้มข้นมากยิ่งมีฤทธิ์มาก สามารถทำให้ผิวหนังเปื่อยยุ่ยได้ในเวลาเสี้ยววินาที จึงควรระมัดระวังระหว่างการใช้งาน ไม่ควรเทโซดาไฟลงท่อระบายน้ำโดยตรงเพราะจะไปกัดกร่อนท่อน้ำเสียหายได้
วิธีใช้ที่ถูกต้อง คือ ควรเทโซดาไฟใส่ในภาชนะแล้วผสมกับน้ำ คนสารละลายให้ละลายหมดก่อนจึงค่อยไปเทใส่ท่อระบายน้ำ ระวังอย่าสูดดมควันจากสารจะทำให้ระคายเคืองระบบทางเดินหายใจ ถึงจะมีตัวช่วยแก้ปัญหาจากการอุดตันแบบนี้แล้ว แต่ทางที่ดีคุณพ่อบ้านแม่บ้านควรดูแลรักษาทำความสะอาดไม่ให้มีเศษอาหาร เกิดคราบที่เกิดจากงานครัวหรือกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้บ้านน่าอยู่น่าอาศัย และไม่เหนื่อยกับการแก้ปัญหาต่าง ๆ
โซดาไฟ มีฤทธิ์เป็นด่าง สามารถกัดผิวหนังได้ ยิ่งเข้มข้นมากยิ่งมีฤทธิ์มาก อันตรายเฉียบพลัน ถ้าหายใจเข้าไปโดยการสูดดมฝุ่นควันของสารจะระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ อาจเกิดปอดอักเสบ น้ำท่วมปอดได้ หากเข้าตาจะมีฤทธิ์ทำลายตั้งแต่ระคายเคืองหรือรุนแรงกระทั่งทำให้ตาบอดได้ หากถูกผิวหนังจะทำให้เกิดการไหม้จนเป็นแผลลึก หากรับประทานเข้าไปจะเกิดการไหม้ในปาก ลำคอ และทางเดินอาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย หมดสติ ถึงขั้นเสียชีวิตได้ ผู้ที่เคยได้รับสารเข้าไปทางปาก อาจมีการพัฒนากลายเป็นมะเร็งในภายหลัง 12-42 ปี หลังจากกินเข้าไป
สำหรับการใช้ในครัวเรือน โซดาไฟสามารถหาซื้อได้ตามซุปเปอร์มาร์เก็ตต่าง ๆ จะอยู่ในลักษณะของผง หรือเกล็ด หรือสังเกตุฉลากที่ระบุไว้ว่า เป็นโซเดียมไฮดรอกไซต์ 65% w/w ซึ่งอาจจะบรรจุดอยู่ในซองฟอยล์ ขนาดพอใช้ เช่น ปริมาณ 65 กรัม ซึ่งก็คือ โซดาไฟ นั่นเอง แต่ลดความเข้มข้นลง เพราะได้ใส่ฟิลเตอร์บางชนิด มักจะบรรจุมาไว้อย่างมิดชิด ให้เหมาะแก่การใช้ในครั้งเดียว เพื่อลดปัญหาและลดความเสี่ยงในการจัดการจัดเก็บที่ไม่ถูกวิธี ซึ่งอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุจากการใช้สารเคมีได้
การเก็บรักษาโซดาไฟให้ถูกต้องและปลอดภัย พร้อมใช้งาน
ควรเก็บโซดาไฟไว้ในภาชนะพลากติกที่มีความหนา เซรามิก หรือแก้วพร้อมฝาที่ปิดสนิท โดยไม่ควรเก็บโซดาไฟไว้ในจุดที่มีความชื้น เพื่อป้องกันโซดาไฟไม่ให้ทำปฏิกิริยากับความชื้น นอกจากนั้นยังต้องระวังไม่ให้โซดาไฟสัมผัสถูกกรดหรือสารที่ติดไฟอีกด้วย ซึ่งผลกระทบทางร่างกาย เมื่อโดนโซดาไฟ มีดังนี้
► ผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ
- หายใจลำบาก
- ระคายเคืองเนื้อเยื่อบริเวณจมูก คอ ระบบทางเดินหายใจ ลำคอ หรือกล่องเสียงบวมซึ่งอาจนำไปสู่การอุดตันของทางเดินหายใจส่วนบนหรือภาวะขาดอากาศหายใจได้
► ผลกระทบต่อผิวหนัง
- แสบร้อนที่ผิวหนัง
- ผิวหนังระคายเคือง
- ผิวหนังไหม้อย่างรุนแรงจนเกิดเป็นแผลลึก
► ผลกระทบต่อหู ตา คอ และจมูก
- ระคายเคืองตา
- มีแผลที่กระจกตา หรือกระจกตาถูกทำลาย
- เจ็บคออย่างรุนแรง
- แสบร้อนในจมูก ตา หู ริมฝีปาก หรือลิ้น
► ผลกระทบต่อระบบทางเดินอาหาร
- อาเจียน โดยอาจมีเลือดปนออกมาได้
- กลืนลำบากและมีน้ำลายไหล
- ปาก คอ หลอดอาหาร และกระเพาะอาหารถูกกัดกร่อนอย่างรุนแรง

การปฐมพยาบาลหากร่างกายสัมผัสกับโซดาไฟ
- หากร่างกายสัมผัสกับโซดาไฟจนมีอาการบาดเจ็บ ควรจะมีการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเพื่อยับยั้งไม่ให้เกิดการบาดเจ็บรุนแรงก่อนเดินทางไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล
- หากโซดาไฟเข้าตา ควรรีบล้างตาด้วยน้ำสะอาดซ้ำหลาย ๆ ครั้งทันที
- หากสัมผัสกับผิวหนังโดยตรงก็ควรใช้สบู่และน้ำทำความสะอาดอย่างเร่งด่วน และใช้ยาแก้แผลไฟไหม้เพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดและผิวหนังไหม้จากการถูกโซดาไฟกัด
- หรือหากเข้าปาก แนะนำให้ใช้น้ำส้มสายชูล้างท้องทันที
วิธีการใช้โซดาไฟสามารถทำได้ด้วยตนเอง ไม่ยุ่งยากซับซ้อน และเป็นตัวเลือกสำหรับการขจัดคราบสกปรกได้อย่างมีประสิทธิภาพและน่าสนใจ แต่ควรจะต้องใช้งานอย่างระมัดระวังและรู้วิธีการใช้และปฐมพยาบาลอย่างละเอียด เพื่อเตรียมพร้อมกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้นได้นั่นเอง
Leave A Comment